อักษรวิ่ง

สาระความรู้รอบตัว

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2562

10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์  

ไม่อันตราย ไม่โยโย่!

10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!

1. เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเช้า
     อาหารเช้าสำคัญก็จริง แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักใช่ว่าเราจะกินอะไรก็ได้ค่ะ แนะนำว่าให้กินธัญพืช 1 ถ้วยคู่กับนมอัลมอนด์ หรือโยเกิร์ตกับผลไม้ประเภทเบอร์รี่ แทนที่จะเลือกกินข้าวเหนียวหมูปิ้งหรืออาหารไขมันสูง เพราะจะช่วยให้ย่อยง่ายขึ้น
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
2. มื้อกลางวันให้เน้นอาหารโปรตีนสูง
     สำหรับมื้อกลางวันแนะนำให้กินอาหารที่แคลอรีต่ำ แต่ให้โปรตีนสูงเป็นหลักค่ะ เช่น อกไก่ อาจจะกินคู่กับแตงกวาและมะเขือเทศ หรือจะเพิ่มไข่ต้ม 2 ฟอง และแครอทต้มอีกสักนิดก็ได้เช่นกัน อกไก่เป็นอาหารที่ไขมันน้อย แถมแคลอรีต่ำ อีกทั้งยังย่อยง่ายอีกด้วย ซึ่งเหมาะกับคนที่ต้องการลดน้ำหนักแบบสุดๆ 
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
3. กินของว่าง 2 มื้อต่อวัน
     การกินของว่างระหว่างวันจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารได้ทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ แต่ของว่างที่ว่านี่ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวที่แคลอรีสูงนะคะสาวๆ ควรเน้นกินเป็นผลไม้ เช่น เบอร์รี่ทั้งหลาย หรือถ้าอยากหวาน อยากกินขนม ควรเลือกเป็นเจลาตินที่เป็นแบบ Sugar-Free, ธัญพืชอบกรอบ หรืออัลมอนด์ แทนค่ะ เพราะช่วยให้อิ่มอยู่ท้อง แถมไม่อ้วนด้วย 
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
4. กินอาหารเย็นที่มีแคลอรีต่ำ
     อาหารเย็นถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อ้วนได้ง่ายๆ เลยค่ะ เพราะฉะนั้นควรเลือกกินอาหารเย็นที่มีแคลอรีต่ำ โดยปริมาณแคลอรีของอาหารมื้อเย็นควรน้อยที่สุดรองจากมื้อเช้า และมื้อกลางวัน คิดง่ายๆ คือ มื้อเช้าควรจะได้รับพลังงานประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 700 กิโลแคลอรี) มื้อเที่ยง 35 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 600 กิโลแคลอรี) และมื้อเย็น 25 เปอร์เซ็นต์ (ประมาณ 500 หรือ 400 กิโลแคลอรี) และที่สำคัญควรกินมื้อเย็นก่อนเข้านอน 4-6 ชั่วโมง 
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
5. ลดการกินโซเดียมให้น้อยลง
     แม้ว่าเกลือและน้ำปลา หรือเครื่องปรุงทั้งหลายจะทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้น แต่การกินโซเดียมมากเกินไป จะทำให้เราตัวบวมได้ง่ายๆ ! ฉะนั้นอาหารที่เราปรุงเองควรลดเกลือหรือโซเดียมให้น้อยลง
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
6. กระโดดเชือกทุกวันวันละ 20 นาที
    กระโดดเชือก เป็นวิธีออกกำลังกายที่ลดน้ำหนักได้ดีสุดๆ ค่ะ เพราะการกระโดดเชือกเพียง 15 นาที เทียบเท่ากับการวิ่งออกกำลังกาย 30 นาทีเลยล่ะ! โดยการกระโดดเชือกในแต่ละวัน แนะนำให้กระโดดครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
7. คาร์ดิโอวันละ 20 นาที
     นอกจากการกระโดดเชือกแล้ว การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออื่นๆ ยังช่วยเผาผลาญได้ดีเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งบนลู่วิ่ง หรือวิ่งบนถนน ทั้งนี้แนะนำให้วิ่งวันละ 20 นาทีค่ะ โดยการวิ่งจะช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดมีการสูฉีด ร่างกายเกิดการเผาผลาญ เปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นไขมัน และช่วยลดการสะสมไขมันในส่วนอื่นได้เป็นอย่างดี
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
8. ดื่มน้ำมะนาวทุกเช้า
     นอกจากอาหารแล้ว น้ำก็เป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ โดยแนะนำว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นโดยใส่มะนาวฝานลงไปด้วยในตอนเช้าของทุกวัน การดื่มน้ำมะนาวแบบนี้ทุกเช้า จะช่วยดีท็อกซ์และเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
9. หันมาฝึกโยคะเป็นประจำ
     โยคะไม่เพียงช่วยคลายกล้ามเนื้อ คลายอาการปวดเมื่อยเท่านั้นค่ะสาวๆ แต่โยคะยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อไม่ว่าจะเป็นหน้าท้อง ต้นขา หรือแขนได้ดีอีกด้วย แถมโยคะบางท่ายังสามารถช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ทำให้เราขับถ่ายได้เป็นปกติขึ้นอีกด้วย
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!
10. นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง
     เป็นวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลจริงๆ ค่ะ เพราะการอดนอนจะทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งนั่นส่งผลให้เราอ้วนขึ้นได้! โดยการนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมการสะสมไขมัน ส่งผลให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น
10 เทคนิค ลดน้ำหนักเร่งด่วน ใน 2 อาทิตย์ ไม่อันตราย ไม่โยโย่!


วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

ผลไม้

กล้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กล้วย


       กล้วย (Banana) ที่นิยมรับประทานกันในบ้านเรานั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก เป็นต้น แต่สำหรับต่างชาติแล้วกล้วยที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกล้วยหอม เนื่องจากกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้าพูดถึงเรื่องประโยชน์แล้วมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุชัดเจนว่าการรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว ! เพราะกล้วยอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติรวมถึง 3 ชนิดเลย นั่นก็คือ ซูโครส กลูโคส และฟรุกโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายนั่นเอง
       นอกจากนี้แล้วในกล้วยยังอุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังมีวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี เป็นต้น
       คุณรู้หรือไม่ ผลไม้อย่างแอปเปิลที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีประโยชน์ก็ยังแพ้กล้วย เพราะว่าในกล้วยนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่าแอปเปิลถึง 2 เท่า โดยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่าด้วยกัน ! โดยการกินกล้วยจะให้ผลดีที่สุดคือกินตอนเช้า เพราะจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และการกินกล้วยทุกวัน วันละ 2 ผลถือเป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก ๆ จะกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้าก็ได้ทั้งนั้น

ประโยชน์ของการกินกล้วย
  1. ช่วยลดกลิ่นปากได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ควรรับประทานหลังตื่นนอนตอนเช้าทันทีแล้วค่อยแปรงฟัน และถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าจะยิ่งช่วยลดกลิ่นปากได้ดีขึ้น
  2. กล้วยช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ
  3. กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี
  4. ช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของคุณ เพราะมีสารที่ช่วยทำให้มีเกิดสมาธิและมีการตื่นตัวตลอดเวลา
  5. กล้วยก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหมือนกันนะ ที่ช่วยในการชะลอความแก่ตัวของร่างกายนั่นเอง
  6. กล้วยมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนได้ เพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ลดอาการอยากกินของจุกจิกลงได้พอสมควร
  7. สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ กล้วยคือคำตอบสำหรับคุณ
  8. อาการหงุดหงิดยามเช้า กล้วยก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน
  9. ช่วยลดอาการหงุดหงิดของผู้หญิงในช่วงประจำเดือนมา
  10. ช่วยลดอาการเมาค้างได้ดีระดับหนึ่ง เพราะจะช่วยชดเชยน้ำตาลที่ร่างกายขาดไปในขณะดื่มแอลกอฮอล์
  11. เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพราะในกล้วยมีวิตามินเอ ซี บี 6 บี 12 โพรแทสเซียม และแมกนีเซียมที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากการเลิกนิโคติน
  12. ช่วยรักษาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยและกากอาหารซึ่งจะช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างปกติ
  13. ช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงทวารหรือในขณะขับถ่ายจะมีเลือดออกมา
  14. ช่วยลดอาการเสียดท้อง ลดกรดในกระเพาะ การกินกล้วยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการนี้ได้
  15. ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งจะช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง
  16. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดฝอยแตกได้
  17. ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดเส้นโลหิตแตกได้
  18. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ การรับประทานกล้วยบ่อย ๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง มีความนิ่มและเส้นใยสูง
  19. ช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรัง เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง ทำให้ไม่เกิดการระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
  20. ช่วยรักษาโรคซึมเศร้า ภาวะความเครียด เพราะกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Tryptophan ซึ่งช่วยในการผลิตสาร Serotonin หรือฮอร์โมนแห่งความสุข จึงมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น
  21. ช่วยลดอัตราการเกิดตะคริวบริเวณมือ เท้า และน่องได้
  22. ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของมารดาลงได้
  23. กล้วยมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการนิ่วในไตได้ในระดับหนึ่ง
ประโยชน์ของกล้วย
  1. กล้วยก็สามารถนำมาทำเป็นมาส์กหน้าได้เหมือนกันนะ โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว วิธีง่าย ๆ เพียงแค่ใช้กล้วยสุกหนึ่งผลมาบดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นคลุกให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
  2. เปลือกกล้วยสามารถแก้ผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ ด้วยการลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด อาการคันจะลดลงไปได้ระดับหนึ่ง
  3. เปลือกด้านในของกล้วยช่วยในการรักษาโรคหูดบนผิวหนังได้ โดยใช้เปลือกกล้วยวางบนลงบริเวณหูดแล้วใช้เทปกาวแปะไว้
  4. เปลือกกล้วยด้านในช่วยฆ่าเชื้อที่เกิดจากบาดแผลได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแปะที่บาดแผลแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเปลือกใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมงด้วย
  5. ยางกล้วยสามารถนำมาใช้ในการห้ามเลือดได้
  6. ก้านใบตอง ช่วยลดอาการบวมของฝี แต่ก่อนใช้ต้องตำให้แหลกเสียก่อน
  7. ใบอ่อนของกล้วย หากนำไปอังไฟให้นิ่ม ก็ใช้ประคบแก้อาหารเคล็ดขัดยอกได้
  8. หัวปลีนำมารับประทานเพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งบำรุงและขับน้ำนมสำหรับมารดาหลังคลอดบุตร
  9. ผลดิบนำมาบดให้ละเอียดทั้งลูกผสมกับน้ำสะอาด รับประทานเพื่อแก้อาการท้องเสีย
  10. ใบตอง อีกส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์กันอย่างมาก เช่น ทำกระทง ห่อขนม ห่ออาหาร ทำบายศรี บวงสรวงต่าง ๆ
คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย ต่อ 100 กรัม
  • พลังงาน 89 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 22.84 กรัม
  • น้ำตาล 12.23 กรัม
  • เส้นใย 2.6 กรัม
  • ไขมัน 0.33 กรัม
  • โปรตีน 1.09 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.031 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี 2 0.073 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินบี 3 0.665 มิลลิกรัม 4%
  • วิตามินบี 5 0.334 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี 6 0.4 มิลลิกรัม 31%
  • วิตามินบี 9 20 ไมโครกรัม 5%
  • โคลีน 9.8 มิลลิกรัม 2%
  • วิตามินซี 8.7 มิลลิกรัม 10%
  • กล้วยธาตุเหล็ก 0.26 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุแมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม 8%
  • ธาตุแมงกานีส 0.27 มิลลิกรัม 13%
  • ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม 3%
  • โพแทสเซียม 358 มิลลิกรัม 8%
  • ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
  • ธาตุสังกะสี 0.15 มิลลิกรัม 2%
  • ธาตุฟลูออไรด์ 2.2 ไมโครกรัม

วิธีดื่มกาแฟให้อร่อย และสุขภาพดียิ่งขึ้น

6 วิธีดื่มกาแฟให้อร่อย และสุขภาพดียิ่งขึ้น


6 วิธีดื่มกาแฟให้อร่อย และสุขภาพดียิ่งขึ้น


1.ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ก่อนดื่มกาแฟ
มีงานวิจัยระบุว่า แม้ว่าคาเฟอีนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายเกิดการขับปัสสาวะ แต่ร่างกายของเราก็สามารถปรับตัวให้สามารถรับมือกับคาเฟอีนที่เข้าไปในร่างกาย โดยไม่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำได้ อย่างไรก็ตามคอกาแฟหลายคนยอมรับว่า หากเริ่มต้นตื่นเช้ามาก็ดื่มกาแฟเลย จะพบว่าตลอดทั้งวันที่เหลือ พวกเขาจะดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย พูดง่ายๆ คือติดกาแฟเสียจนลืมดื่มน้ำเปล่านั่นเอง ดังนั้นถ้าไม่อยากทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มน้ำน้อย ก็ควรดื่มน้ำเปล่าสักหนึ่งแก้วหลังตื่นนอน ก่อนที่จะเดินไปชงกาแฟดื่มอีกครั้ง ไม่แน่คุณอาจจะดื่มกาแฟน้อยลงเพราะอิ่มน้ำไปบ้างแล้วก็ได้

2.อย่าใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นวิธีที่ช่วยทำให้กาแฟของคุณมีรสชาติอร่อย และไม่ทำลายสุขภาพ เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่มีพลังงานเหมือนน้ำตาลปกติ แต่มีงานวิจัยที่พบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลบ่อยๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 โรคอ้วน และโรคหัวใจได้ ดังนั้นหากจะชงกาแฟครั้งหน้า ควรเลือกใส่น้ำตาลจริงในปริมาณน้อยๆ เพียงปลายช้อน หรือไม่ใส่น้ำตาลจะดีกว่า

3.อย่าเติมน้ำตาลในกาแฟเกิน 1 ช้อนชา
สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาแนะนำปริมาณน้ำตาลที่เราควรทานในแต่ละวันไม่เกิน 6 ช้อนชา เพื่อหลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หรือโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือด ดังนั้นหากเราเลือกที่จะใส่น้ำตาลลงในกาแฟ ก็ไม่ควรใส่เกิน 1 ช้อนชาต่อแก้ว และหากใครที่ดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้วต่อวัน ควรเฉลี่ยปริมาณน้ำตาลให้ทุกแก้วรวมกันไม่เกิน 1 ช้อนชาด้วย เพราะเราต้องเผื่อปริมาณน้ำตาลให้กับอาหาร และขนม รวมทั้งเครื่องดื่มอื่นๆ ที่เราทานหรือดื่มในแต่ละวันด้วย

4.ใส่นมออร์แกนิก หรือนมจากพืช แทนนมปกติ
ถ้าชอบใส่นมในกาแฟ ลองเลือกนมจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมออร์ปกนิก นมที่มาจากวัวที่กินแต่หญ้า แทนนมปกติดูสิ แม้ว่าความเข้มข้นหรือไขมันจะน้อยกว่า แต่รับรองว่าดีต่อสุขภาพมากกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะนมจากพืชมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย และนมออร์แกนิก หรือนมที่มาจากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าอย่างเดียว จะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 มากกว่านมปกติด้วย เราแนะนำให้เลือกแต่นมจืดเท่านั้น แต่หากชอบนมที่มีรสชาติ สามารถเลือกนมที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 4 กรัม หรือเท่ากับ 1 ช้อนชาจะดีที่สุด

5.ใส่ผงอบเชย หรือเครื่องเทศอื่นๆ ลงไปแทนน้ำตาล
หากเป็นคนติดหวาน ติดให้กาแฟมีรสชาติมากกว่ารสขม แต่ไม่อยากเติมน้ำตาล ลองเปลี่ยนเป็นการใส่เครื่องเทศอื่นๆ อย่างอบเชย ขิง จันทน์เทศ หรือกานพลูลงไปในกาแฟดูสิ นอกจากจะช่วยให้กาแฟแก้วโปรดของคุณมีกลิ่นหอมรัญจวนใจ น่าดื่มกว่าที่เคยแล้ว ยังทำให้ร่างกายได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากเครื่องเทศเหล่านี้มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย โดยเฉพาะอบเชย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และการทำงานของอินซูลินได้ดีเลยทีเดียว หรือหากเครื่องเทศเหล่านี้ไม่ใช่ทางของคุณ ลองเติมเป็นผงโกโก้ลงไปแทนก็ได้เป็นมอคค่าแสนอร่อยอีกแก้ว

6.“หลับ” ก่อนกาแฟ “ปลุก”
ทราบหรือไม่ว่า ก่อนที่กาแฟจะเริ่มส่งคาเฟอีนมาปลุกให้เราตื่นจากความง่วง ต้องใช้เวลาราว 30 นาที ดังนั้นหากเราสามารถทำการ “งีบ” ก่อนที่คาเฟอีนจะเริ่มทำงาน หลังจากเรางีบไป 30 นาที และตื่นมาพร้อมกับคาเฟอีนที่เริ่มปลุกเราให้ตื่น เราจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นใครที่สามารถงีบได้ ให้ลองใช้วิธีนี้ดู แต่อย่าเผลอดื่มกาแฟก่อนนอน 6 ชั่วโมงล่ะ ไม่งั้นคืนนั้นอาจจะนอนไม่หลับได้

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

กินกาแฟอย่างไรให้มีประโยชน์
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กาแฟ

      ในกาแฟมีทั้งประโยนช์และโทษ หากรับประทานมากเกินไปก็จะให้โทษต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา จึงได้กำหนดปริมาณค่าของคาเฟอีนที่ไม่มีโทษต่อร่างกายหากดื่มไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน หรือไม่ควรเกิน
3 แก้วนั้นเอง คาเฟอีนมีผลต่อร่างกายโดยตรง
หากดื่ม 50-200 มิลลิกรัมจะช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว และสดชื่นกำลังดี แต่หากดื่มในปริมาณ
200-500 หรือเรียกว่าขนาดกลาง อาจทำให้ร่างกายเกิดความเครียด
ปวดหัว ใจสั่น กระวนกระวาย ไปจนถึงนอนไม่หลับได้ ยิ่งถ้าทานในปริมาณที่สูงขึ้นถึง 1000 มิลลิกรัมต่อวันขึ้นไป คาเฟอีนยิ่งจะกลายเป็นพิษให้โทษต่อร่างกายทันที จะทำให้ร่างกายเริ่มกระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว เคลื่อนใส้ เบื่ออาหาร และปัสสาวะบ่อยขึ้น
      กาแฟมีประโยชน์ เพราะฉะนั้นถ้าอยากทานกาแฟให้เกิดประโยนช์ หรือแก้ง่วง แน่ะนำให้ทานกาแฟครั้งละน้อยๆเพื่อกระจายการดื่มออกไปในแต่ละครั้ง
หรือแก้วเล็กๆ แต่สามารถทานได้เรื่อยๆ ค่อยๆจิบไปทีละนิดเพราะกาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากดื่มไปแล้ว 15 นาที และการดื่มแบบนี้ก็จะช่วยให้ร่างกายของเราตื่นตัวได้ยาวนานกว่าการดื่มทีเดียวครั้งล่ะมากๆ แต่ข้อสำคัญให้ปริมาณของคาเฟอีนรวมกันแล้วไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวันจะดีที่สุด และผลเสียอีกอย่างสำหรับคอกาแฟที่ชอบทานกาแฟตอนท้องว่าง คาเฟอีนในกาแฟจะเร่งหลั่งกรดในกระเพราะออกมา ซึ่งจะทำให้กระเพราะของเราระคายเคืองอยู่บ่อยๆจนกลายเป็นโรคกระเพราะได้ในที่สุด
เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรทานกาแฟตอนท้องว่างกันนะค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะมีขนมทานควบคู่กับกาแฟไปด้วยจะดีกว่า หรือค่อยๆจิบ หลังทานอาหารหลักจะดีที่สุด และที่สำคัญอีกอย่างการดื่มกาแฟในปริมาณมากๆ เพื่อหวังจะกระตุ้นให้ได้งานเย่อะๆ จนอดหลับอดนอน ยิ่งทำให้ร่างกายต่อต้าน สมองของเราก็จะยิ่งย่ำแย่ประสิทธิภาพในการรับรู้หมดลงได้ในที่สุด สำหรับคอกาแฟที่ทานกันอยู่เป็นประจำ แน่ะนำให้ทานอาหารที่มีแหล่งแคลเซียมมากๆ เพื่อไปทดแทนแคลเซียมที่สูญเสียไปกับการปัสสาวะที่มีจำนวนครั้งมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน หรือถ้าเป็นไปได้ควรใช้ นม แทนครีมเทียมจะดีกว่านะค่ะ และข้อสำคัญอีกอย่างในกระบวนการผลิตกาแฟจะมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้น เพราะฉนั้นเราควรทานผักผลไม้เพื่อกำจัดอนุมูลอิสระออกจากร่างกายที่มากับกาแฟ พร้อมทั้งดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปกับการปัสสาวะ